วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ความมหัศจรรย์ในทางวิทยาศาสตร์ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอาน (1/8)


บทที่ หลักฐานบางประการที่บอกถึงความเป็นจริงของศาสนาอิสลาม
พระผู้เป็นเจ้าทรงสงเคราะห์ศาสนทูตมุหัมมัด https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhof1qZ6PTjWYIShn7RL91mRut9hgyuhPzgj9bqfGReBBUm7i6k6BG1GyY73ou6ZvEHK_SCSy_8O-6mJKCQ6xVlgbjPiHjP6-h7pWS6IsZg7nzdGepDGhAp_EELBCGOvDFVrDbd7gwdR6I/s1600/%2521cid_951C30F3260D47BAB3210725838A44C1%2540KIMVISAPC.jpg ซึ่งเป็นศาสนทูตองค์สุดท้ายของพระองค์ด้วยปาฏิหาริย์นานัปการและพยานหลักฐานอีกมากมายซึ่งสามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าพระองค์คือศาสนทูตที่แท้จริง ซึ่งประทานมาโดยพระผู้เป็นเจ้า เฉกเช่นเดียวกับที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสงเคราะห์พระคัมภีร์ที่ทรงอนุญาตให้เปิดเผยได้ซึ่งเป็นเล่มสุดท้ายของพระองค์ นั่นคือ พระคัมภีร์กุรอาน ด้วยปาฏิหาริย์นานัปการที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า พระคัมภีร์กุรอานเล่มนี้คือพระดำรัสจากพระผู้เป็นเจ้าโดยแท้ ซึ่งนำมาเปิดเผยโดยศาสนทูตมุหัมมัด และไม่ได้มาจากการประพันธ์ของมนุษย์คนใด ในบทนี้จะกล่าวถึงพยานหลักฐานบางประการถึงความจริงนี้

(1) ความมหัศจรรย์ในทางวิทยาศาสตร์ที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์กุรอาน
พระคัมภีร์กุรอานคือพระดำรัสจากพระผู้เป็นเจ้าโดยแท้ ซึ่งพระองค์ทรงเปิดเผยต่อศาสนทูตมุหัมมัด https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhof1qZ6PTjWYIShn7RL91mRut9hgyuhPzgj9bqfGReBBUm7i6k6BG1GyY73ou6ZvEHK_SCSy_8O-6mJKCQ6xVlgbjPiHjP6-h7pWS6IsZg7nzdGepDGhAp_EELBCGOvDFVrDbd7gwdR6I/s1600/%2521cid_951C30F3260D47BAB3210725838A44C1%2540KIMVISAPC.jpg โดยผ่านทางมลาอิกะฮฺ(เทวทูต)ญิบรีล (Gabriel) โดยที่มุหัมมัด ได้ท่องจำพระดำรัสของพระองค์ ผู้ซึ่งต่อมาได้ทรงบอกต่อให้กับบรรดาสาวกหรือสหายของท่าน บรรดาสหายเหล่านั้นได้ทำการท่องจำ และจดบันทึกไว้ และได้ทำการศึกษากับศาสนทูตมุหัมมัด https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhof1qZ6PTjWYIShn7RL91mRut9hgyuhPzgj9bqfGReBBUm7i6k6BG1GyY73ou6ZvEHK_SCSy_8O-6mJKCQ6xVlgbjPiHjP6-h7pWS6IsZg7nzdGepDGhAp_EELBCGOvDFVrDbd7gwdR6I/s1600/%2521cid_951C30F3260D47BAB3210725838A44C1%2540KIMVISAPC.jpg อีกครั้งหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ศาสนทูตมุหัมมัด https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhof1qZ6PTjWYIShn7RL91mRut9hgyuhPzgj9bqfGReBBUm7i6k6BG1GyY73ou6ZvEHK_SCSy_8O-6mJKCQ6xVlgbjPiHjP6-h7pWS6IsZg7nzdGepDGhAp_EELBCGOvDFVrDbd7gwdR6I/s1600/%2521cid_951C30F3260D47BAB3210725838A44C1%2540KIMVISAPC.jpg ยังทรงทำการศึกษาพระคัมภีร์อัลกุรอานกับมลาอิกะฮฺญิบรีลอีกปีละครั้ง และสองครั้งในปีสุดท้ายก่อนที่ท่านจะสิ้นชีวิต นับแต่เวลาเมื่อมีการเปิดเผยพระคัมภีร์กุรอานมาจนกระทั่งทุกวันนี้ มีประชากรชาวมุสลิมจำนวนมากมายมหาศาลสามารถท่องจำคำสอนทั้งหมดที่มีอยู่ในพระคัมภีร์กุรอานได้ทุกตัวอักษร บางคนในจำนวนเหล่านั้นสามารถท่องจำคำสอนทั้งหมดที่มีอยู่ในพระคัมภีร์อัลกุรอานได้ก่อนอายุสิบขวบเลยทีเดียว ไม่มีตัวอักษรสักตัวในพระคัมภีร์กุรอานได้เปลี่ยนแปลงไปในช่วงหลายศตวรรษที่ ผ่านมาแล้ว
พระคัมภีร์กุรอานที่นำมาเปิดเผยเมื่อสิบสี่ ศตวรรษที่ผ่านมา ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงต่าง ๆ ซึ่งถูกค้นพบหรือได้รับการพิสูจน์จากนักวิทยาศาสตร์เมื่อเร็วๆ นี้ การพิสูจน์ในครั้งนี้แสดงให้เห็นโดยปราศจากข้อสงสัยว่า พระคัมภีร์กุรอานนั้นจะต้องมาจากพระดำรัสพระผู้เป็นเจ้าโดยแท้ ซึ่งนำมาเปิดเผยโดยศาสนทูตมุหัมมัด https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhof1qZ6PTjWYIShn7RL91mRut9hgyuhPzgj9bqfGReBBUm7i6k6BG1GyY73ou6ZvEHK_SCSy_8O-6mJKCQ6xVlgbjPiHjP6-h7pWS6IsZg7nzdGepDGhAp_EELBCGOvDFVrDbd7gwdR6I/s1600/%2521cid_951C30F3260D47BAB3210725838A44C1%2540KIMVISAPC.jpg และพระคัมภีร์กุรอานเล่มนี้ไม่ได้ถูกประพันธ์มาจากมุหัมมัด https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhof1qZ6PTjWYIShn7RL91mRut9hgyuhPzgj9bqfGReBBUm7i6k6BG1GyY73ou6ZvEHK_SCSy_8O-6mJKCQ6xVlgbjPiHjP6-h7pWS6IsZg7nzdGepDGhAp_EELBCGOvDFVrDbd7gwdR6I/s1600/%2521cid_951C30F3260D47BAB3210725838A44C1%2540KIMVISAPC.jpg หรือมนุษย์คนใด และนี่ก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นอีกเช่นกันว่า มุหัมมัด https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhof1qZ6PTjWYIShn7RL91mRut9hgyuhPzgj9bqfGReBBUm7i6k6BG1GyY73ou6ZvEHK_SCSy_8O-6mJKCQ6xVlgbjPiHjP6-h7pWS6IsZg7nzdGepDGhAp_EELBCGOvDFVrDbd7gwdR6I/s1600/%2521cid_951C30F3260D47BAB3210725838A44C1%2540KIMVISAPC.jpg คือ ศาสนทูตที่แท้จริงซึ่งประทานมาโดยพระผู้เป็นเจ้า มันเป็นเรื่องที่อยู่เหนือเหตุผลที่ว่า น่าจะมีใครบางคนเมื่อหนึ่งพันสี่ร้อยปีที่ผ่านมาทราบความจริงที่ได้ถูกค้นพบหรือถูกพิสูจน์เมื่อไม่นานมานี้ ด้วยเครื่องมือที่ล้ำสมัยและด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ที่ล้ำลึก ดังตัวอย่างต่อไปนี้

ก) พระคัมภีร์กุรอานกับการพัฒนาของตัวอ่อนมนุษย์:
ในพระคัมภีร์กุรอาน พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้เกี่ยวกับขั้นตอนต่างๆ ในการพัฒนาของตัวอ่อนมนุษย์ :
ความว่า "และขอสาบานว่า แน่นอนเราได้สร้างมนุษย์มาจากธาตุแท้ของดิน แล้วเราทำให้เขาเป็นเชื้ออสุจิ อยู่ในที่พักอันมั่นคง (คือมดลูก) แล้วเราได้ทำให้เชื้ออสุจิกลายเป็นก้อนเลือดแล้วเราได้ทำให้ก้อนเลือดกลายเป็นก้อนเนื้อแล้วเราได้ทำให้ก้อนเนื้อกลายเป็นกระดูก แล้วเราหุ้มกระดูกนั้นด้วยเนื้อ แล้วเราได้เป่าวิญญาณให้เขากลายเป็นอีกรูปร่างหนึ่ง ดังนั้นอัลลอฮ์ทรงจำเริญยิ่ง ผู้ทรงเลิศแห่งปวงผู้สร้าง" (คัมภีร์กุรอาน, 23:12-14)
ซึ่งเมื่อพิจารณาตามตัวอักษรแล้ว ในภาษาอารบิก คำว่า alaqah นั้น มีอยู่ 3 ความหมาย ได้แก่ (1) ปลิง  (2) สิ่งแขวนลอย และ (3) ลิ่มเลือด
ในการเปรียบเทียบปลิงกับตัวอ่อนในระยะที่เป็น alaqah นั้น เราได้พบความคล้ายกันระหว่างสองสิ่งนี้ (ดู The Developing Human ของ Moore และ Persaud ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 8ซึ่ง เราสามารถดูได้จากรูปที่ 1 นอกจากนี้ ตัวอ่อนที่อยู่ในระยะดังกล่าวจะได้รับการหล่อเลี้ยงจากเลือดของมารดา ซึ่งคล้ายกับปลิงซึ่งได้รับอาหารจากเลือดที่มาจากผู้อื่น (ดู Human Development as Described in the Quran and Sunnah ของ Moore และคณะ หน้า 36)
รูปที่ 1: ภาพวาดดังกล่าวอธิบายให้เห็นความคล้ายกันของรูปร่างระหว่างปลิงกับตัวอ่อนมนุษย์ในระยะที่เป็น alaqah (รูปวาดปลิงมาจากหนังสือเรื่อง Human Development as Described in the Quran and Sunnah ของ Moore และคณะ หน้า 37 ดัดแปลงมาจาก Integrated Principles of Zoology ของ Hickman และคณะ ภาพตัวอ่อนวาดมาจากหนังสือเรื่อง  The Developing Human ของ Moore และ Persaud ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 73)
ความหมายที่สองของคำว่า alaqah คือ สิ่งแขวนลอยซึ่งเราสามารถดูได้จากรูปที่ 2 และ 3 สิ่งแขวนลอยของตัวอ่อน ในช่วงระยะ alaqah ในมดลูกของมารดา
Figure 2 (Large)
รูปที่ 2 : ในภาพนี้ เราจะเห็นภาพของตัวอ่อน ซึ่งเป็นสิ่งแขวนลอยในช่วงระยะที่เป็น alaqah อยู่ในมดลูก (ครรภ์) ของมารดา (มาจากเรื่องThe Developing Human ของ Moore และ Persaud ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 66)
ความหมายที่สามของคำว่า alaqah คือ ลิ่มเลือดเราพบว่าลักษณะภายนอกของตัวอ่อนและส่วนที่เป็นถุงในช่วงระยะ alaqah นั้น จะดูคล้ายกับลิ่มเลือด ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า มีเลือดอยู่ในตัวอ่อนค่อนข้างมากในช่วงระยะดังกล่าว (Human Development as Described in the Quran and Sunnah ของมัวร์และคณะ หน้า 37-38) (ดูรูปที่ 4) อีกทั้งในช่วงระยะดังกล่าว เลือดที่มีอยู่ในตัวอ่อนจะไม่หมุนเวียนจนกว่าจะถึงปลายสัปดาห์ที่สาม (The Developing Human ของ Moore และ Persaud ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 65) ดังนั้น ตัวอ่อนในระยะนี้จึงดูเหมือนลิ่มเลือดนั่นเอง.
Figure 4 (Large)
รูปที่ 4: เป็นแผนภูมิระบบการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดหัวใจพอสังเขปในตัวอ่อนในช่วง ระยะ alaqah ซึ่งลักษณะภายนอกของตัวอ่อนและส่วนที่เป็นถุงของตัวอ่อนจะดูคล้ายกับลิ่มเลือด เนื่องจากมีเลือดอยู่ค่อนข้างมากในตัวอ่อน (The Developing Human ของ Moore ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 65)
ดังนั้น ทั้งสามความหมายของคำว่า alaqah นั้น ตรงกับลักษณะของตัวอ่อนในระยะ alaqah เป็นอย่างยิ่ง
ในระยะต่อมาที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ ก็คือ ระยะ mudghah ในภาษาอารบิกคำว่า mudghah หมายความว่า สสารที่ถูกขบเคี้ยวถ้าคนใดได้หมากฝรั่งมาชิ้นหนึ่ง และใส่ปากเคี้ยว จากนั้นลองเปรียบเทียบหมากฝรั่งกับตัวอ่อนที่อยู่ในช่วงระยะ mudghah เราจึงสรุปได้ว่าตัวอ่อนในช่วงระยะ mudghah จะมีลักษณะเหมือนสสารที่ถูกขบเคี้ยว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ไขสันหลังที่อยู่ด้านหลังของตัวอ่อนมีลักษณะ ค่อนข้างคล้ายกับร่องรอยของฟันบนสสารที่ถูกขบเคี้ยว “ (ดูรูปที่ 5 และ 6) (The Developing Human ของ Moore และ Persaud ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 8)
รูป ที่ 5: ภาพถ่ายของตัวอ่อนในช่วงระยะ mudghah (อายุ 28 วัน) ตัวอ่อนในระยะนี้จะมีลักษณะเหมือนสสารที่ถูกขบเคี้ยว เนื่องจากไขสันหลังที่อยู่ด้านหลังของตัวอ่อนมีลักษณะค่อนข้างคล้ายกับร่อง รอยของฟันบนสสารที่ถูกขบเคี้ยว ขนาดที่แท้จริงของตัวอ่อนจะมีขนาด 4 มิลลิเมตร (จากเรื่อง The Developing Human ของ Moore และ Persaud ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 82 ของศาสตราจารย์ Hideo Nishimura มหาวิทยาลัยเกียวโต ในเมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น)
Figur 6 (Large)
รูป ที่ 6: เมื่อเปรียบเทียบลักษณะของตัวอ่อนในช่วงระยะ mudghah กับหมากฝรั่งที่เคี้ยวแล้ว เราจะพบกับความคล้ายคลึงระหว่างทั้งสองสิ่งนี้ A) รูปวาดของตัวอ่อนในช่วงระยะ mudhah เราจะเห็นไขสันหลังที่ด้านหลังของตัวอ่อน ซึ่งดูเหมือนลักษณะร่องรอยของฟัน (จากเรื่อง(The Developing Human ของ Moore และ Persaud ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 79)  B) รูปถ่ายหมากฝรั่งที่เคี้ยวแล้ว
มุหัมมัด https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhof1qZ6PTjWYIShn7RL91mRut9hgyuhPzgj9bqfGReBBUm7i6k6BG1GyY73ou6ZvEHK_SCSy_8O-6mJKCQ6xVlgbjPiHjP6-h7pWS6IsZg7nzdGepDGhAp_EELBCGOvDFVrDbd7gwdR6I/s1600/%2521cid_951C30F3260D47BAB3210725838A44C1%2540KIMVISAPC.jpg ทราบได้อย่างไรถึงเรื่องราวทั้งหมดนี้เมื่อ 1400 ปีที่แล้ว ทั้งๆ ที่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะค้นพบเรื่องนี้เมื่อไม่นานมานี้เอง โดยใช้เครื่องมือที่ทันสมัยและกล้องจุลทรรศน์ความละเอียดสูง ซึ่งยังไม่มีใช้ในสมัยก่อน Hamm และ Leeuwenhoek คือนักวิทยาศาสตร์สองคนแรกที่สังเกตเซลล์อสุจิของมนุษย์ (สเปอร์มมาโตซัว) ด้วยการใช้กล้องจุลทรรศน์ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2220 (หลังมุหัมมัด https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhof1qZ6PTjWYIShn7RL91mRut9hgyuhPzgj9bqfGReBBUm7i6k6BG1GyY73ou6ZvEHK_SCSy_8O-6mJKCQ6xVlgbjPiHjP6-h7pWS6IsZg7nzdGepDGhAp_EELBCGOvDFVrDbd7gwdR6I/s1600/%2521cid_951C30F3260D47BAB3210725838A44C1%2540KIMVISAPC.jpg กว่า 1000 ปี) พวกเขาเข้าใจผิดคิดว่าเซลล์อสุจิเหล่านั้นประกอบไปด้วยสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ซึ่งจะก่อตัวเป็นมนุษย์ โดยจะเจริญเติบโตเมื่อฝังตัวลงในอวัยวะสืบพันธุ์ของผู้หญิง (The Developing Human ของ Moore และ Persaud ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 9)
ศาสตาจารย์กิตติมศักดิ์ Emeritus Keith L. Moore หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขากายวิภาควิทยาและวิชาว่าด้วยการศึกษาตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิต อีกทั้งยังเป็นผู้แต่งหนังสือที่ชื่อว่า Developing Human ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้นำไปแปลถึงแปดภาษา หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ใช้สำหรับอ้างอิงงานทางวิทยาศาสตร์ และยังได้รับเลือกจากคณะกรรมการพิเศษของสหรัฐอเมริกาให้เป็นหนังสือที่ดีที่สุดที่แต่งขึ้นโดยบุคคลเพียงคนเดียว Dr. Keith Moore เป็นศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์แห่งภาควิชากายวิภาควิทยาและเซลล์ชีววิทยา ที่มหาวิทยาลัยโตรอนโต (University of Toronto) เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา ณ ที่แห่งนั้น เขาดำรงตำแหน่งรองคณบดีสาขาวิทยาศาสตร์มูลฐานของคณะแพทย์ศาสตร์ และดำรงตำแหน่งประธานแผนกกายวิภาควิทยาเป็นเวลา 8 ปี ในปีพ.ศ. 2527 เขาได้รับรางวัลที่น่าชื่นชมที่สุดในสาขากายวิภาคของประเทศแคนาดา นั่นคือรางวัล J.C.B Grant Award จากสมาคมนักกายวิภาควิทยาแคนาดา (Canadian Association of Anatomists) เขาได้กำกับดูแลสมาคมนานาชาติต่างๆ มากมาย เช่น สมาคมนักกายวิภาควิทยาแคนนาดาและอเมริกา (Canadian and American Association of Anatomists) และ สภาสหภาพวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Council of the Union of Biological Sciences) เป็นต้น.
ใน ปีพ.ศ 2524 ระหว่างการประชุมด้านการแพทย์ครั้งที่ 7 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองดัมมาม ประเทศซาอุดิอาระเบีย ศาสตราจารย์ Moore ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าภาคภูมิใจอย่างหาที่สุดมิได้ที่ได้ช่วยให้เรื่องราวต่างๆ ที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์กุรอานเกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์ให้มีความชัดเจน อีกทั้งยังทำให้ข้าพเจ้ามีความเข้าใจอย่างกระจ่างชัดว่าคำกล่าวเหล่านี้ต้องมาจากพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้าโดยผ่านทางมุหัมมัด เพราะว่าความรู้เกือบทั้งหมดนี้ไม่เคยถูกค้นพบมาก่อนจนกระทั่งอีกหลายศตวรรษต่อมา สิ่งนี้พิสูจน์ให้ข้าพเจ้าเห็นว่ามุหัมมัดจะต้องเป็นผู้ถือสารจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน” (การอ้างอิงคำกล่าวนี้ This is the Truth (วีดีโอเทป) ที่ : http://www.islam-guide.com/th/video/moore-1.ram)
ต่อมา ศาสตราจารย์ Moore ได้ถูกตั้งคำถามดังต่อไปนี้ หมายความว่า ท่านมีความเชื่อว่าพระคัมภีร์กุรอานนั้นเป็นพระดำรัสจากพระผู้เป็นเจ้าจริงหรือไม่ เขาตอบว่า ข้าพเจ้ายอมรับสิ่งดังกล่าวนี้ได้อย่างสนิทใจ” (อ้างจาก : This is the Truth (วีดีโอเทป) เพิ่งอ้าง
ใน ระหว่างการประชุมครั้งหนึ่ง ศาสตราจารย์ Moore ได้กล่าวว่า “…..เพราะว่าในช่วงระยะตัวอ่อนของมนุษย์นั้นมีความซับซ้อน เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในระหว่างการพัฒนาของตัวอ่อน มีการเสนอว่าควรมีการพัฒนาระบบการแบ่งประเภทตัวอ่อนใหม่โดยใช้คำศัพท์ที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์กุรอานและซุนนะฮฺ (Sunnah คือ สิ่งที่ศาสนทูตมุหัมมัด  ได้พูด กระทำ หรือยอมรับ) ระบบที่เสนอนี้ดูเรียบง่าย ครอบคลุมทุกด้านและสอดคล้องกับความรู้ที่เกี่ยวกับการพัฒนาของตัวอ่อนในปัจจุบัน แม้ว่า อริสโตเติล (Aristotle) ผู้ก่อตั้งวิทยาศาสตร์ว่าด้วยการศึกษาเกี่ยวกับตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิต ยังเชื่อว่าการพัฒนาตัวอ่อนของลูกไก่นั้นแบ่งออกเป็นหลายระยะ จากการศึกษาไข่ไก่เมื่อศตวรรษที่สี่หลังคริสตศักราช ซึ่งเขาไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับระยะต่างๆ เหล่านั้นเลย เท่าที่ทราบมาจากประวัติการศึกษาเกี่ยวกับตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิต มีเรื่องระยะและการแยกประเภทของตัวอ่อนมนุษย์อยู่น้อยมาก จนกระทั่งมาถึงศตวรรษที่ยี่สิบนี้
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ในศตวรรษที่เจ็ด คำอรรถาธิบายเกี่ยวกับตัวอ่อนมนุษย์ในพระคัมภีร์กุรอานนั้น ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงความรู้ในทางวิทยาศาสตร์ได้ มีเพียงบทสรุปที่พอจะมีเหตุผลเดียวก็คือ คำอรรถาธิบายเหล่านี้ ได้ถูกเปิดเผยโดยพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งทรงประทานแก่มุหัมมัด ท่านไม่ทราบรายละเอียดต่างๆ เพราะว่าเป็นคนที่ไม่รู้หนังสือ อีกทั้งไม่เคยฝึกฝนด้านวิทยาศาสตร์ใดๆ ทั้งสิ้น (This is the Truth , อ้างแล้ว)

www.islam-guide.com 
ตรวจทาน: อัสรัน นิยมเดชา, ซุฟอัม อุษมาน
สำนักงานความร่วมมือเพื่อการเผยแพร่และสอนอิสลาม อัร-ร็อบวะฮฺ กรุงริยาด

http://www.islamhouse.com/  

วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

ถามสตรีมุสลิมซิครับ

หากคุณถามสตรีมุสลิม ว่าทำไมจึงแต่งกายเช่นนี้
ปกปิดเสียมิดชิด
ทั้งที่โลกปัจจุบันนั้นเต็มไปด้วยเสรี
เธอจะตอบคุณอย่างภาคภูมิว่า...
เพราะฉันเป็นมุสลิม
ผมขอเชิญทุกคนครับ
ขอเชิญสุภาพสตรีที่นี่ทุกคน
อีกทั้งเชิญสตรีที่ไม่ใช่มุสลิมด้วย
ให้ลองได้พูดคุยกับสตรีมุสลิม ก่อนที่คุณจะออกไปจากที่นี่
ผมว่า...เราลองไม่ต้องถาม คุณบาบาร่า วอลเทอร์
ว่าสตรีมุสลิมรู้สึกอย่างไร
ลองไม่ต้องถาม นายทอม โบรดอล
ว่าสตรีมุสลิมรู้สึกอย่างไร
ไม่ต้องไปถาม CNN ABC FOX
London times หรือ Australian times
หรือว่าคนที่ไม่ใช่มุสลิม
ว่าสตรีมุสลิมรู้สึกอย่างไร
พวกเธออยู่กันอย่างไร
อะไรคือหลักในการดำเนินชีวิตของพวกเธอ
และพวกเธอต้องเผชิญความท้าทายอย่างไรบ้าง
หากคุณยุติธรรมพอ...
ถามสตรีมุสลิมซิครับ
หากผมไปบ้านคุณ และผมถามคุณว่า
ขอผมชมเพชรของคุณ เงินของคุณ
เครื่องประดับของคุณ และขอทราบรหัสผ่านต่างๆได้ไหม
คุณไม่มีทางให้ผมหรอก
ครับ...สตรีของพวกเรา ภรรยาของเรา แม่ของเรา และลูกสาวของเรานั้น
ล้ำค่าและเป็นที่รักแก่พวกเรา
มากกว่าเพชรพลอย เงินทอง และรหัสผ่านต่างๆ
ไม่มีอะไรอีกแล้วครับ!!!
จะสวยงามไปกว่าสตรีมุสลิม
ไม่มีใครที่จะมาเสมือนพวกเธอได้
เธอผู้เป็นบ่าวของอัลลอฮฺ (ซ.บ.)
เธอซึ่งแต่งกายโดยหวังความพอพระทัยแห่งอัลลอฮฺเท่านั้น
และแตกต่างกับสตรีผู้ปฏิเสธศรัทธาอย่างสิ้นเชิง!!!
ครั้งเมื่อเธอจะออกจากบ้าน
เธอจะส่องกระจก เหมือนกับที่สตรีทั่วไปทำกัน
ทว่าจุดมุ่งหมายในการส่องกระจกนั้น...ต่างกัน
เพราะเมื่อผู้หญิงทั่วไปส่องกระจก
เธอจะสนใจในความงาม ชื่นชมจุดเด่นของตัวเอง
มั่นใจว่าสวย และจะสามารถดึงดูดเพศตรงข้างได้
แต่เมื่อสตรีมุสลิมส่องกระจก
เธอต้องมั่นใจว่า เธอแต่งตัวเรียบร้อยมิดชิด
มั่นใจว่าอัลลอฮฺ (ซ.บ.) จะทรงพอพระทัยในตัวเธอ
เพื่อที่เมื่อเธอก้าวออกไปข้างนอก การปกปิดของเธอนั้นจะทำให้อัลลอฮฺ (ซ.บ.) พึงพอพระทัย
หากเธอทำเช่นนั้น...เธอช่างงดงามจริงๆ
ตรงข้ามกันเสียจริง!!!
"...ความงามขึ้นอยู่กับสายตาของผู้เชยชม..."
หากคุณยุติธรรมพอ
ถามสตรีมุสลิมซิครับ


วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

พระไตรปิฎก Vs ไบเบิล Vs อัลกุรอ่าน เกี่ยวกับโลก



พระไตรปิฎก กับโลก

ตามพระไตรปิฎก ตัวพระพุทธเจ้ายืนยันเอาไว้ว่า โลกเรานั้นตั้งอยู่บนน้ำ และตั้งอยู่บนลมอีกที ซึ่งขัดต่อความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์อย่า
งเห็นได้ชัด อีกทั้งสาเหตุที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวก็ขัดกันอย่างชัดเจนเช่นกัน



พระ ไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ทีฆนิกาย มหาวรรค๓. มหาปรินิพพานสูตร (๑๖) [๙๗] ครั้งนั้น พระอานนท์ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอเหตุไม่เคยมีมามีขึ้น แผ่นดินใหญ่นี้ไหวได้ แผ่นดินใหญ่นี้ไหวได้จริงๆ ความ

ขนพองสยองเกล้าน่าพึงกลัว ทั้งกลองทิพย์ก็บันลือลั่น อะไรหนอเป็นเหตุ

อะไรหนอเป็นปัจจัยสำหรับให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ

ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้น

เข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้น

ท่านพระอานนท์นั่งเรียบร้อยแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์

เหตุไม่เคยมีมามีขึ้น แผ่นดินใหญ่นี้ไหวได้ แผ่นดินใหญ่นี้ไหวได้จริงๆ ความ

ขนพองสยองเกล้าน่าพึงกลัว ทั้งกลองทิพย์ก็บันลือลั่น อะไรหนอเป็นเหตุ

อะไรหนอเป็นปัจจัย สำหรับให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ

[๙๘] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรพระอานนท์ เหตุ ๘ ประการ

ปัจจัย ๘ ประการเหล่านี้แล เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ๘ ประการเป็นไฉน ฯ

ดูกรอานนท์ มหาปฐพีนี้ตั้งอยู่บนน้ำ น้ำตั้งอยู่บนลม ลมตั้งอยู่บนอากาศ

สมัยที่ลมใหญ่พัด เมื่อลมใหญ่พัดอยู่ย่อมยังน้ำให้ไหว น้ำไหวแล้ว ย่อมยัง

แผ่นดินให้ไหว อันนี้เป็นเหตุ เป็นปัจจัยข้อที่หนึ่ง เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่

ปรากฏ ฯ ......



http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=10&A=1888



--------------------------------------------.

ไบเบิล กับโลก

ในขณะที่คัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่าโลกนั้นมีเสาค้ำยันอยู่

[ พระองค์ทรงยกคนยากจนขึ้นจากผงคลี พระองค์ทรงยกคนขอทานขึ้นจากกองขยะ กระทำให้เขานั่งร่วมกับเจ้านาย และได้ที่นั่งอันมีเกียรติเป็นมรดก เพราะว่าเสาแห่งพิภพเป็นของพระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงวางพิภพไว้บนนั้น ] ( 1 ซามูเอล 2:8 )

[ ผู้ทรงสั่นแผ่นดินโลกให้ออกจากที่ของมัน และเสาของมันก็สั่นสะเทือน ] ( โยบ 9:6 )

[ เมื่อแผ่นดินโลกละลาย พร้อมทั้งบรรดาชาวแผ่นดินโลกนั้น ผู้ที่รักษาเสาของมันให้มั่นอยู่คือเราเอง เซลาห์ ] ( เพลงสดุดี 75:3 )

--------------------------------------------.

อัลกุรอ่าน กับโลก

"And Allah has made the Earth for you as a CARPET (spread out)" (Quran Sura 71:19)
และ อัลเลาะห์ ได้สร้างโลกสำหรับคุณดังเช่น พรม (ที่คลี่ออกมา)


ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ความหมายคือ
"และอัลลอฮฺทรงทำให้แผ่นดินนี้ราบเรียบกว้างใหญ่สำหรับพวกท่าน"
การคลี่ออกมาเหมือนพรม นั่นไม่ได้หมายความว่า โลกจะแบน แต่หมายถึงว่าแผ่นดินนั้นแบนราบ มันต่างกัน อัล-อัรฎ แปลว่า แผ่นดิน

ผมขอยกข้อความจากอัลกุรอ่าน

"(กุรอ่าน88:20) "และยัง(ไม่พิจารณา)แผ่นดินบ้างหรือว่ามันถูกแผ่ลาดไว้อย่างไร ?"

.....โองการนี้เกี่ยวกับ "การใช้สติปัญญาพินิจ พิเคราะห์" ครับ ต่อเนื่องมาจาก
(กุรอ่าน88:17) "พวกเขาไม่พิจารณาดู...." จึงเป็นการบอกในลักษณะที่คนทั่วไปในสมัยนั้นสังเกตุเห็นได้ นั่นก็คือ หากมองแผ่นดิน(โลก) ออกไปแล้ว จะเหมือนกับว่า แผ่นดินได้ถูกลาดออกไป เป็นแผ่นๆ

อยากให้ลองดูอีกโองการนึงคือ
(กุรอ่าน15:19) "และแผ่นดินนั้นเราได้แผ่มันออกไป และเราได้ทำให้มีเทือกเขาเป็นที่ยึดอย่างมั่นคง และเราได้ให้ทุกสิ่งงอกเงยอย่างสมดุล"
อันนี้เป็นการพูดถึงการสร้างสรรค์ของพระเจ้าครับ ที่น่าทึ่งของโองการนี้คือ เป็นการกล่าวไว้ชัดเจนที่สุดในกุรอ่านว่า "โลกใบนี้ กลม!!" ทำไม?

"เรา ได้แผ่มันออกไป" ในโองการนี้ ใช้คำว่า "มะดัดนา" แปลเป็น"Extended" หากโลกใบนี้"แบน" เราจะใช้คำว่า "มะดัดนา" ไม่ได้ เพราะเดินๆอยู่ เราเองจะตกขอบโลก!! แต่คำนี้ หมายถึงการที่เราเดินอยู่ แล้วก็สามารถเดินต่อไปได้เรื่อยๆ ซึ่งเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจาก เมื่อเราเดินต่อๆไปแล้ว ก็ต่อไปอีก วนๆ จนกลับมาอีกทีครับ

การแผ่ขยายของพื้นดินกับโลกแบนมันต่างกันนะครับ คนที่เข้าใจว่าโลกแบน ไม่จำเป็นเสมอไปที่จะเข้าใจว่าพื้นโลกกำลังขยายตัว

คงเคยได้ยินเรื่องของการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือก โลก (Plate Tectonics) ที่เสนอว่าพื้นโลกเคยเป็นแผ่นดินเดียวกัน เรียกว่า PANGAEA ซึ่งต่อมาค่อยๆ เคลื่อนตัวขยายออกมาก จนกลายมาเป็นทวีปต่างๆในปัจจุบัน

แผ่นเปลือกโลกไม่ได้อยู่นิ่ง แต่มีการเคลื่อนที่คล้ายการเคลื่อนย้ายวัตถุบน สายพานลำเลียงสิ่งของ จากผลการสำรวจท้องมหาสมุทรในช่วงทศวรรษ ๒๔๙๐ พบว่า มีแนวสันเขากลางมหาสมุทร รอบโลก (Global Mid Ocean Ridge) ซึ่งมีความยาวกว่า ๕๐,๐๐๐ กิโลเมตร กว้างกว่า ๘๐๐ กิโลเมตร จากการศึกษาทางด้านธรณีวิทยา พบว่า หินบริเวณสันเขาเป็นหินใหม่ มีอายุน้อยกว่าหินที่อยู่ในแนวถัดออกมา จึงได้มีการตั้งทฤษฎีว่า แนวสันเขากลางมหาสมุทรนี้คือ รอยแตกกึ่งกลางมหาสมุทร รอยแตกนี้เป็นรอยแตกของแผ่นเปลือกโลก ซึ่งถูกแรงดันจากหินหนืดภายในเปลือกโลกดันออกจากกันทีละน้อย รอยแยกของแผ่นเปลือกโลกที่กล่าวมาแล้ว ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกต่างๆ


51:48 And we made the earth habitable; a perfect design.
51:48 และแผ่นดินนั้น เราได้แผ่ขยายมันออกไป ดังนั้นเราเป็นผู้แผ่ขยายที่ยอดเยี่ยม


“พระองค์ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดินด้วยความจริงอันชัดแจ้ง พระองค์ทรงให้
กลางคืนที่คาบเกี่ยวเข้าไปในกลางวัน และทรงให้กลางวันคาบเกี่ยวเข้าไปในกลางคืน…”
(อัลกุรอาน 39:5)

ใน อัลกุรอาน คำที่ใช้บรรยายถึงจักรวาลนั้นน่าสนใจยิ่ง คำภาษาอาหรับว่า “ ตักวีร ” หมายความว่า “สิ่งหนึ่งเกยซ้อนกับอีกสิ่งหนึ่ง เหมือนกับการพับผ้า” (พจนานุกรมภาษาอาหรับอธิบายว่า เป็นการพันสิ่งหนึ่งเข้ากับอีกสิ่งหนึ่ง)
ข้อความในอายะฮ์เกี่ยวกับเวลากลางวันและกลางคืนที่คาบเกี่ยวซึ่งกันและกัน แสดงข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับสัณฐานของโลก การคาบเกี่ยวกันในลักษณะดังกล่าวจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อโลกมีรูปทรงกลมเท่านั้น ความจริงข้อนี้ได้ปรากฏชัดอยู่ในอัลกุรอานตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 แล้ว ทั้งที่ในขณะนั้นเรื่องสัณฐานกลมของโลกยังไม่มีใครรู้เลย

อย่างไรก็ตามเราควรตระหนักว่าความเข้าใจทางดาราศาสตร์ ในเวลานั้น ทำให้เรารับรู้เกี่ยวกับโลกได้แตกต่างกัน แต่ก่อนนั้นเคยเชื่อกันว่า โลกแบน การคำนวณและการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ล้วนอาศัยความเชื่อนี้ แต่ทว่าข้อความในอัลกุรอานกลับมีข้อมูลที่มนุษย์เพิ่งจะค้นพบกันเมื่อศตวรรษที่แล้วนี้เอง เนื่องจากอัลกุรอานเป็นวจนะของพระผู้เป็นเจ้า ทุกถ้อยคำในอัลกุรอานจึงเป็นจริงเสมอ รวมทั้งเรื่องที่กล่าวถึงจักรวาลก็เช่นกัน


นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากอัลกุรอ่าน อัลกุรอ่าน คือ สัจธรรม อัลกุรอ่านไม่ใช่สารานุกรมทางวิทยาศาสตร์

[10:37] และอัลกุรอานนี้มิใช่จะถูกปั้นแต่งขึ้นโดยผู้ ใดนอกจากอัลลอฮ์ แต่เป็นการยืนยันคัมภีร์ที่มีมาก่อน และเป็นการจำแนก ข้อบัญญัติต่าง ๆ ในนั้น ไม่มีข้อสงสัยในคัมภีร์นั้น ซึ่งมาจากพระเจ้าแห่งสากลโลก

"บรรดาผู้ปฏิเสธไม่เห็นดอกหรือว่าชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน ได้ถูกรวมเข้าด้วยกันแล้วเราได้แยกมันออกเป็นชั้นๆ และเราได้ให้สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งเกิดมาจากน้ำ" (ซูเราะฮ อัล-อัมบิยาอ์ อายะฮที่ 30)

และตอนนี้วิทยาศาสตร์ได้บอกไว้ว่าต้นตอของสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาจากน้ำ


นี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของอัลกุรอ่าน แน่นอนอัลกุรอานไม่ใช่หนังสือวิทยาศาสตร์ แต่อัลกุรอานก็ได้ระบุถึงข้อเท็จจริงทางด้านวิทยาศาสตร์ ที่ค้นพบด้วยเทคโนโลยีในยุคศตวรรษที่ 20 เอาไว้อย่างลึกซึ้ง
นี้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ที่อยากให้พี่น้องได้ทำความเข้าใจ ไว้จะมาเพื่มเติมให้ใหม่ อินชาอัลลอฮฺ

วัสลาม
 


อ้างอิงโดย Hassan Aero

วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน<<>>มหัศจรรย์ อัลกุรอาน||อัลกุรอานคัมภีร์ไร้ข้อบกพร่อง&&อัลกุรอานคัมภีร์มหัศจรรย์ 2/2

ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน<<>>มหัศจรรย์ อัลกุรอาน||อัลกุรอานคัมภีร์ไร้ข้อบกพร่อง&&อัลกุรอานคัมภีร์มหัศจรรย์ ตอน2

ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน - 6



ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน -7



ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน -8

ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน<<>>มหัศจรรย์ อัลกุรอาน||อัลกุรอานคัมภีร์ไร้ข้อบกพร่อง&&อัลกุรอานคัมภีร์มหัศจรรย์ 1/2

จะเป็นยังไงเมื่ออัลกุรอานได้บอกเรื่องราวต่างๆไว้เมื่อหนึ่งพันสี่ร้อยปีก่อน เพื่อพิสูจน์ความเป็นหนึ่งเดียวของพระผู้เป็นเจ้า วิทยาศาสตร์คือเครื่องพิสูจน์ความจริงที่มีทั้งหลักการและเหตุผล และทุกครั้งที่พิสูจน์ความจริงได้ อัลกุรอานกลับได้พิสูจน์ความจริงไว้แล้วก่อนหน้า (ก่อนที่วิทยาศตร์จะเกิดขึ้นด้วนซ้ำ) แม้กระทั้งทฤษฎีของกาลิเลโอที่ได้บอกไว้ว่าโลกไม่ได้แบนตามความเชื่อของ คริสต์ แต่อัลกุรอานได้บอกไว้ก่อนหน้าแล้ว บอกไว้ก่อนที่บิดามารดาของกาลิเลโอจะเกิดมาด้วยซ้ำ
กำเนิดโลกการโคจร

ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน - 1

 


ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน - 2

 


ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน - 3

 


ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน - 4

  


ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน - 5

  


ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน - 6