วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หากคุณสังสัยใน3จังหวัดภาคใต้? หากคุณเข้าใจผิดว่าเป็นการทวงดินแดนคืน? หากคุณคิดว่าเป็นสงครามศาสนา?

ปัญหาที่เกิดขึ้นของ3จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ถ้าเมื่อก่อนโน้น(โน้นๆ) เขาต้องการทวงดินแดนคืน (บุคคลที่ต่อต้านรัฐบาล) แต่จะไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์เด็ดขาด (ต่างจากปัจจุบัน) แม้กระทั้งทหารเขาก็ไม่ทำร้าย เว้นแต่ทหารต้องการฆ่าพวกเขา (ทหารต้องการฆ่าเพราะถือว่าเป็นกบฎ)
ศาสนาอิสลามห้ามการฆ่าไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ ชรา ชาย หญิง หรือคนต่างศาสนาก็ตาม (บาปใหญ่) แต่ที่เราเห็นกันทุกวันนี้ทุกครั้งที่มีการฆ่ากันเกิดขึ้นผู้ที่ตาย เด็ก ผู้ใหญ่ ครู ทหาร และพวกเขาผู้นั้นไม่ได้กระทำผิดเลย แม้แต่คนที่กระทำความผิด (ตามกฎหมายอิสลาม) เราก็ฆ่าเขาไม่ได้ ถ้าไม่ถูกสอบสวนจากศาลอิสลามเสียก่อน    ผู้กระทำผิดในภาคใต้หรือที่รู้กันในชื่อผู้ก่อการร้ายนั้นผู้ที่ถูกจับล้วนเป็นผู้ที่ติดสารเสพติด ดังนั้น มันยิ่งไม่ใช่แน่นอน และอีกอย่างสงครามเพื่อศาสนานั้น มันไม่ใช่เราไปกระทำเขาก่อน แต่เราต้องถูกกระทำก่อนในลักษณะถูกขับไล่ให้ออกจากประเทศของตน (ถูกประเทศอื่นมายึดครอง เช่นปาเลตไตที่ถูกยิวมาแย่งพื้นที่แล้วจัดตั้งเป็นอิสราเอล และมีการเปิดเผยอย่างแท้จริงว่าทำเพื่ออะไร ) พี่น้องถูกฆ่าเนื่องด้วยนับถือศาสนาอิสลาม (เช่น ปาเลตไต แม้แต่เด็กก็ถูกฆ่าถ้ายิวรู้ว่านับถือศาสนาอิสลาม) พี่น้องมุสลิมที่รักครับ การกระทำในจังหวัด3ชายแดนภาคใต้ มันมีเบื้องหลังครับ เช่น เศรษฐกิจ เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ประเทศอาหรับต้องการให้งบประมานมาจัดทำ อาหารฮะล้าล ถ้าจัดทำเสร็จ ประเทศอาหรับและประเทศอื่นที่เป็นอิสลามจะนำเข้าอาหารฮะล้าลทั้งหมดจากประเทศไทย (คิดดูนะครับว่า ประเทศที่เป็นพื้นฐานทางเศรษฐกิจ แหล่งรวมน้ำมันดิบของโลก จะใช้งบประมาณอันมหาศาลเพื่อเปลี่ยนสินค้านำเข้าจากหลายๆประเทศมาเป็นประเทศเดียว มันจะเกิดอะไรขึ้น?) เบื้องหลังของการก่อการร้ายไม่ใช่มุสลิม แต่ผู้ที่กระทำส่วนใหญ่เป็นมุสลิม อันเนื่องมาจากการติดสารเสพติด (ที่เป็นข้อต้องห้ามของศาสนา) กระทำไปเพื่อให้ได้เงินไปซื้อสิ่งเสพติด โจรใต้ที่เราได้ยินข่าวกันทุกวัน ไม่ได้มีเพียงศาสนาเดียว แต่ข่าวที่ออกมาเมื่อคนๆนั้นนับถือศาสนาอิสลาม เขาก็จะบอกว่ามุสลิมกระทำผิด (เขาใช้คำว่ามุสลิม ซึ่งมันกระทบไปทั่วโลกสำหรับผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม) แต่ถ้าไม่ใช่ศาสนาอิสลาม เข้าก็จะบอกว่า ชื่อนาย....กระทำผิด นี้คือข้อแตกต่างของการรายงานข่าวที่อยุติธรรม (สามารถพบรับรู้ได้ด้วยตนเองเมื่ออ่านข่าวหรือฟังข่าว) ขอย้ำสำหรับเพื่อนต่างศาสนานะครับว่า อิสลามห้ามการฆ่าคนเป็นที่สุด ถ้ามีการฆ่าคนเกิดขึ้น ไม่ว่าคนที่ถูกฆ่านั้นจะเป็นผู้กระทำผิดหรือไม่ก็ตาม ถ้าไม่ได้ถูกสอบสวนจากศาลอิสลาม เขา(ผู้ฆ่า) จะถูกได้รับโทษสเหมือนกับที่เขาทำบุคคลนั้น (ถูกประหาร) เรื่องราวที่เกิดขึ้นบ่อยๆ มันไม่ใช่เพราะใคร เพียงแต่เป็นเพราะตัวเขาเองที่ไม่ได้ทำตามบทบัญญัติของศาสนา คนดีคนชั่วมีทุกศาสนา หากเราไม่อคติกับศาสนาใดศาสนาหนึ่งเราก็จะไม่มองว่าคนที่กระทำผิดนับถือศาสนาอะไร แต่เราจะต้องมองว่าเขามีปัญญาที่จะรู้ผิดชอบชั่วดีรึป่าว ดูข้อแตกต่างนะครับ แล้วท่านจะพบความจริงที่อยุติธรรม

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อ่านแล้วต้องส่ง ถ้าไม่ส่งจะ....

อัสลามุอาลัยกุมวะเราะฮฺมาตุลลอฮ วะบะรอฮฺกาตุฮฺ


เช้าวันรุ่งขึ้นผมนั่งอ่านอีเมล์ ซึ่งมีเนื้อหาใจความดีมาก แต่เมื่ออ่านใกล้จบ กับเจอข้อความลงท้ายว่า "หากท่านไม่ส่งต่อแสดงว่าท่านไม่ใช่มุสลิม" โอ้อะไรกันเนี่ย แค่คำๆเดียวที่ใครก็ไม่รู้เขียนขึ้นมา ถ้าเราไม่ทำตามเราจะตกจากการเป็นมุสลิม  ไม่จริงใช่ไหมเราจะตกจาการเป็นมุสลิมโดยที่เรามิได้ตั้งภาคีใดๆกระนั้นหรือ

นี้คือสิ่งที่ผมคิดทุกครั้งเมื่อได้อ่านอีเมล์จำพวกนี้ ว่าถ้าวันนั้นผมได้เปิดอ่านอีเมล์ทางโทรศัพท์โดยมีคำลงท้ายด้วยการให้ส่งต่อถ้าไม่ส่งจะไม่ใช่มุสลิม ซึ่งถ้าจะให้ส่งกลับผ่านทางนั้นมันก็ลำบากในการแอดอีเมล์ของเพื่อนที่มีนับร้อยรายชื่อ จึงค่อยกลับไปส่งที่บ้านผ่านคอมจะดีกว่า พอถึงบ้านผมดันลืมละ...ลืมไปเลยว่าต้องส่งอีเมล์ฉบับนั้น แย่แล้วทีนี้แสดงว่าผมตกจากการเป็นมุสลิมแล้วใช่ไหม ?

เบื่อไหมครับเวลาที่มีอีเมล์เข้า โดยมีเนื้อหาใจความดี แต่ตอนจบมักลงท้ายด้วย คำที่ให้ส่งต่อ ถ้าไม่ส่งแสดงว่าไม่เห็นด้วย ไม่ส่งต่อไม่ใช่มุสลิม ไม่ส่งต่อจะมีอันตรายเกิดขึ้น


เมื่อใดก็ตามที่ผมเปิดเมล์แล้วเจอคำลงท้ายด้วยคำเหล่านั้น ผมจะไม่สนใจและลบทิ้งทันที เพราะอะไร? เพราะ การที่เราจะส่งต่อหรือไม่นั้น มันขึ้นอยู่กับความตั้งใจที่เราต้องการเผยแพร่ ฤ เปล่า คำเหล่านั้นมันมีค่ามากแค่ไหน แล้วมันจะเป็นจริงใช่ไหม หรือว่าคุณเชื่อคำเหล่านั้น  
อัลฮัมดูลิลลาฮ 
สิทธิของการที่จะให้ท่านเป็นมุสลิมหรือไม่นั้น มันอยู่ที่ข้อความเหล่านี้ หรือ อยู่ที่พระเจ้าของพวกท่าน





(أَلاَ لَهُ الْخَلْقُ وَالأَمْرُ تَبَارَكَ اللّهُ رَبُّ الْعَالَمِينَ﴾ (الأعراف : 54 )
ความ ว่า  “พึงรู้เถิดว่า การสร้างและกิจการทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิของพระองค์เท่านั้น  มหาบริสุทธิ์ยิ่งองค์อัลลอฮฺผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก”  (อัลอะอฺรอฟ 54)



 (وَإِلٰـهُكُمْ إِلٰـهٌ وَاحِدٌ لاَّ إِلٰـهَ إِلاَّ هُوَ الرَّحْمَنُ الرَّحِيمُ﴾ (البقرة : 163 )
ความ ว่า  “และพระผู้เป็นเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักการะของพวกเจ้านั้น มีเพียงองค์เดียว ไม่มีผู้ควรแก่การเคารพสักการะใด ๆ นอกจากพระองค์ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอเท่านั้น”  (อัลบะเกาะเราะฮฺ 163)




﴿قُلِ الْحَمْدُ لِلهِ وَسَلَامٌ عَلَى عِبَادِهِ الَّذِينَ اصْطَفَى آللهُ خَيْرٌ أَمَّا يُشْرِكُونَ (59) أَمَّنْ خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ وَأَنزَلَ لَكُم مِّنَ السَّمَاءِ مَاء فَأَنبَتْنَا بِهِ حَدَائِقَ ذَاتَ بَهْجَةٍ مَّا كَانَ لَكُمْ أَن تُنبِتُوا شَجَرَهَا أَإِلٰـهٌ مَّعَ اللهِ بَلْ هُمْ قَوْمٌ يَعْدِلُونَ (60) أَمَّن جَعَلَ الْأَرْضَ قَرَاراً وَجَعَلَ خِلَالَهَا أَنْهَاراً وَجَعَلَ لَهَا رَوَاسِيَ وَجَعَلَ بَيْنَ الْبَحْرَيْنِ حَاجِزاً أَإِلٰـهٌ مَّعَ اللهِ بَلْ أَكْثَرُهُمْ لَا يَعْلَمُونَ (61) أَمَّن يُجِيبُ الْمُضْطَرَّ إِذَا دَعَاهُ وَيَكْشِفُ السُّوءَ وَيَجْعَلُكُمْ خُلَفَاء الْأَرْضِ أَإِلٰـهٌ مَّعَ اللهِ قَلِيلاً مَّا تَذَكَّرُونَ (62) أَمَّن يَهْدِيكُمْ فِي ظُلُمَاتِ الْبَرِّ وَالْبَحْرِ وَمَن يُرْسِلُ الرِّيَاحَ بُشْراً بَيْنَ يَدَيْ رَحْمَتِهِ  أَإِلٰـهٌ مَّعَ اللهِ تَعَالَى اللهُ عَمَّا يُشْرِكُونَ (63) أَمَّن يَبْدَأُ الْخَلْقَ ثُمَّ يُعِيدُهُ وَمَن يَرْزُقُكُم مِّنَ السَّمَاءِ وَالْأَرْضِ أَإِلٰـهٌ مَّعَ اللهِ قُلْ هَاتُوا بُرْهَانَكُمْ إِن كُنتُمْ صَادِقِينَ (64) ﴾ (النمل : 59 – 64)

          ความว่า  “จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) บรรดาการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ  และความศานติจงมีแด่ปวงบ่าวของพระองค์  ผู้ซึ่งพระองค์ทรงคัดเลือกแล้ว  อัลลอฮฺดีกว่าหรือสิ่งที่พวกเขาตั้งเป็นภาคีเจว็ด)  หรือผู้ใดเล่าที่สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน  และทรงหลั่งน้ำจากฟากฟ้าแก่พวกเจ้าแล้วเราได้ให้สวนต่าง ๆ  งอกเงยอย่างสวยงาม  พวกเจ้าก็ไม่สามารถที่จะทำให้ต้นไม้งอกเงยขึ้นมาได้ จะมีพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮฺอีกหรือ ?
เปล่า ดอก! พวกเขาเป็นกลุ่มชนผู้ตั้งภาคี  หรือผู้ใดเล่าที่ทำให้แผ่นดินเป็นที่พำนักและทรงให้มีลำน้ำหลายสายไหล ระหว่างมัน  และทรงทำให้ภูเขายึดตรึงมันไว้ และทรงทำให้มีที่กั้นระหว่างน่านน้ำทั้งสอง จะมีพระเจ้าอื่นใดคู่เคียงกับอัลลอฮฺอีกหรือ ? 
เปล่า ดอก  ส่วนมากของพวกเขาไม่รู้  หรือผู้ใดเล่าจะตอบรับผู้ร้องทุกข์ เมื่อเขาวิงวอนขอต่อพระองค์ และทรงปลดเปลื้องความชั่วร้ายนั้น  และทรงทำให้พวกเจ้าเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน จะมีพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮฺอีกหรือ ?
ส่วน น้อยเท่านั้นที่พวกเจ้าจะใคร่ครวญ  หรือผู้ใดเล่าจะชี้แนะทางแก่พวกเจ้าในความมืดทึบของแผ่นดินและน่านน้ำ และผู้ใดทรงส่งลมแจ้งข่าวดีก่อนที่ความเมตตาของพระองค์จะมาถึง(หมายถึงลมพัด ก่อนฝนตก) จะมีพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮฺอีกหรือ ?
อัล ลอฮฺทรงสูงส่งเหนือสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคี  หรือผู้ใดเล่าจะเริ่มในการสร้าง แล้วทรงให้มันเกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และผู้ใดทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า จากฟากฟ้าและแผ่นดิน จะมีพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮฺอีกหรือ? จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) จงนำหลักฐานของพวกท่านมา หากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง”  (อัลนัมลฺ59-64)



วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การให้สลามด้วยคำว่า "สลาม" ได้หรือไม่ ?

 อัสลามุอาลัยกุมวะเราะฮฺมาตุลลอฮ วะบะรอฮฺกาตุฮฺ

เรามาดูถึงความสำคัญของการให้สลามกันเสียก่อนนะ
           จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า 

قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم: «وَالَّذي نَفْسي بِيَدِهِ لاَ تَدْخُلُونَ الْجَنَّةَ حَتَّى تُؤْمِنُوا، وَلاَ تُؤْمِنُوا حَتَّى تَحَابُّوا، أَوَلاَ أَدُلُّكُمْ عَلَى شَىْءٍ إِذَا فَعَلْتُمُوهُ تَحَابَبْتُمْ؛ أَفْشُوا السَّلاَمَ بَيْنَكُمْ»
ความว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า “ขอสาบานกับผู้ที่ชีวิตฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ว่า พวกท่านจะไม่เข้าสวรรค์จนกว่าพวกท่านจะศรัทธา และพวกท่านจะไม่ศรัทธาจนกว่าพวกท่านจะรักใคร่ปรองดองกัน พวกท่านจะเอาไหม ฉันจะบอกวิธีหนึ่งที่เมื่อพวกท่านปฏิบัติแล้ว พวกท่านก็จะรักใคร่ซึ่งกันและกัน ? จงแพร่สลามในหมู่พวกท่าน” (บันทึกโดยมุสลิม : 54)

จากคำถามข้างต้น คงต้องรวมประเด็นการตอบไว้ดังนี้
ที่ถามว่า

          1.การเขียนคำให้สลามและรับสลาม หากเราจะเขียนเพียงคำว่าสลามหรือรับสลาม ถือว่าใช้ได้ไหม ?

 
          2.และหากเขาส่งคำเพียงคำว่า "สลาม" ถือว่าเขาได้ให้สลามเราแล้วหรือยัง และหากเขาตอบเพียงคำว่า "รับสลาม"  ถือว่าเขานั้นได้รับสลามเราแล้วหรือยังและการใช้ไอคอนในการให้สลามและรับ สามารถทำได้ไหม (การให้สลามของเราสมบูรณ์ไหม) ?
 

          ก่อนอื่นเราคงต้องมาดูหลักการศาสนาก่อนว่า การทักทายพี่น้องมุสลิมนั้น หลักการได้ส่งเสริมและมีรูปแบบ วิธีการที่ศาสนากำหนดนั้นไว้อย่างไร
          วิธีการและรูปแบบตามฉบับของท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัมในการให้สลาม

           จากอิมรอน บิน หุศ็อยน์ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า 

جَاءَ رَجُلٌ إِلَى النَّبِىِّ صلى الله عليه وسلم، فَقَالَ: السَّلاَمُ عَلَيْكُمْ. فَرَدَّ عَلَيْهِ السَّلاَمَ، ثُمَّ جَلَسَ. فَقَالَ النَّبِىُّ صلى الله عليه وسلم: «عَشْرٌ». ثُمَّ جَاءَ آخَرُ، فَقَالَ: السَّلاَمُ عَلَيْكُمْ وَرَحْمَةُ اللَّهِ. فَرَدَّ عَلَيْهِ، فَجَلَسَ. فَقَالَ: «عِشْرُونَ». ثُمَّ جَاءَ آخَرُ، فَقَالَ: السَّلاَمُ عَلَيْكُمْ وَرَحْمَةُ اللَّهِ وَبَرَكَاتُهُ. فَرَدَّ عَلَيْهِ، فَجَلَسَ. فَقَالَ: «ثَلاَثُونَ».
ความว่า : มีชายคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม แล้วกล่าวว่า“อัสสลามมุอะลัยกุม” ท่านจึงตอบสลาม แล้วเขาก็นั่งลง แล้วท่านนบีก็บอกว่า “ได้สิบ”

           ต่อมามีคนอื่นมาหาอีก เขากล่าวว่า “อัสสลามุอะลัยกุม วะเราะฮฺมะตุลลอฮฺ” ท่านจึงตอบกลับ แล้วเขาก็นั่งลง ท่านบอกว่า “ได้ยี่สิบ”

           ต่อมาก็มีคนอื่นมาหาอีก เขากล่าวว่า “ อัสสลามุอะลัยกุม วะเราะฮฺมะตุลลอฮฺ วะบะเราะกาตุฮฺ” ท่านก็ตอบกลับ แล้วเขาก็นั่งลง ท่านบอกว่า “ได้สามสิบ” (เป็นหะดีษ เศาะฮีหฺ บันทึกโดย อบู ดาวูด : 5195 ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อบี ดาวูด : 4327, อัต-ติรมิซีย์ : 2689 ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อัต-ติรมิซีย์ : 2163)

และมาดูตัวอย่างของการรับสลาม ผู้ที่ไม่อยู่ต่อหน้า

           ท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮา ได้รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวกับเธอว่า 

«يَا عَائِشَةُ، هَذَا جِبْرِيلُ يَقْرَأُ عَلَيْكِ السَّلاَمَ» . فَقَالَتْ : وَعَلَيْهِ السَّلاَمُ وَرَحْمَةُ اللَّهِ وَبَرَكَاتُهُ . تَرَى مَا لاَ أَرَى.
ความว่า “โอ้ อาอิชะฮฺ ! มลาอิกะฮฺญิบรีลนี่ได้ให้สลามแก่เธอ” เธอจึงตอบว่า “วะอะลัยฮิสสะลาม วะเราะฮฺมะตุลลอฮิ วะบะเราะกาตุฮฺ” ท่านมองเห็นในสิ่งที่ฉันมองไม่เห็น (บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ : 3217 สำนวนนี้เป็นของท่าน, มุสลิม : 2447)

-----------------------

           และดั่งคำฟัตวาจาก Maulana Mahmood Ahmed Mirpuri ณ กรุงริยาด ประเทศซาอุดี อาระเบีย

"อัสลามุอาลัยกุม" หรือ เพียงแค่ "สลาม"

          ถามว่า บางคนมีแนวโน้มว่าจะกล่าว เพียงแค่ "สลาม" หรือ "สลาม อาลัยกุม" แทนที่จะพูดว่า "อัสลามุอาลัยกุม"     สิ่งนี้เป็นที่อนุญาตหรือไม่ ?
Zein al-Abideen, Halifax
------------------------
          คำตอบ  "สลาม อาลัยกุม" เป็นที่อนุญาตเช่นกัน  แต่ไม่เป็นที่แนะนำให้ใช้แทน "อัสลามมุอาลัยกุม"  ผู้ที่กล่าวเพียงคำว่า "สลาม" นั้นไม่ถูกต้อง และ เป็นเพียงแฟชั่นสมัยใหม่   อัลกุรอานได้สั่งว่า เราควรทักทายซึ่งกันและกันด้วยคำที่เหมาะสมนั่นก็คือ คำว่า "อัสลามุอาลัยกุม วะเราะมะตุลลอฮ วะบารอกาตุฮ"
 Country Of Origin : Saudi Arabia
State : Riyadh
Author/Scholar : The Late Maulana Mahmood Ahmed Mirpuri
-----------------------
http://infad.usim.edu.my/modules.php?op=modload&name=News&file=article&sid=3064

ฉะนั้น จากคำฟัตวาข้างต้นและหลักฐานจากหะดิษที่นำเสนอมานั้น ย่อมบ่งบอกว่า เรื่องของการให้สลามนั้น เป็นเรื่องของ อิบาดะห์ 


ดังนั้น การให้สลามหรือการรับสลาม หากมิได้เป็นไปตามแบบอย่างและวิธีการกล่าวตามที่ศาสนากำหนดไว้ ก็ไม่เป็นที่อนุญาตในการที่เรานั้นจะใช้คำอื่นแทน หรือถ้อยคำใดๆอื่น หรือสัญลักษณ์(ไอคอน)อื่นๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ง่ายๆสำหรับบรรดาหนุ่มๆสาวในปัจจุบัน เพราะการให้สลามนั้น ถือเป็นอิบาดะห์ ที่จะนำมาซึ่งการได้รับผลบุญในการให้สลาม และนำมาซึ่งการที่ผู้รับสลามนั้น  จำเป็นที่จะต้องรับสลาม เพราะการให้สลามนั้นเป็นสุนนะห์ แต่การรับสลาม คือ วาญิบนั่นเอง
--------------------
          3.หรือจะต้องให้เขาเขียนว่า "อัสลามุอาลัยกุม" ถึงจะเป็นการให้สลาม และรับว่า "วะอาลัยกุมสลาม" ถึงจะเป็นการรับ อย่างที่น้อยที่สุดในการเขียน

          ดั่งที่นำเสนอหล่ะนะ....หรือจะ“ได้แค่สิบ”หรือจะ “ได้ยี่สิบ” แล้วใครเล่าจะไม่เอา "สามสิบ"...ว่าไหม
--------------------------------------

ข้อแนะนำและฉุดคิด

          การให้สลามหรือการรับสลาม โดยใช้ถ้อยคำเพียงสั้นๆเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ง่ายดายและไม่ยุ่งยากต่อ การกล่าวหรือการพิมพ์ หรือสาเหตุใดก็ตามแต่ ดั่งที่ปรากฎต่อบรรดาหนุ่มๆสาวๆในปัจจุบันนั้น ไม่เพียงแต่ จะไม่ได้รับผลบุญซึ่งการกระทำที่ผิดรูปแบบและวิธีการที่ศาสนาได้กำหนดไว้มา ก่อนแล้วว่า จะต้องกล่าวอย่างนั้น อย่างนี้ ถึงจะได้รับผลบุญเท่านั้นเท่านี้ แต่เกรงว่าจะเป็นการอุตริกรรมในเรื่องราวของศาสนา อันเนื่องจากเราได้บัญญัติรูปแบบ วิธีการ สัญลักษณ์ต่างๆเพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายๆ และเกิดความเข้าใจที่ผิด คิดว่า นั่นคือสิ่งที่ศาสนาอนุญาตและสามารถกระทำได้เพราะมันคือรูปแบบหนึ่งที่ท่าน รอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัมเคยกล่าวย่อเป็นสัญลักษณ์ไว้หรือบรรดาศอฮาบะห์เคยใช้ในการกล่าวเช่น เดียวกัน..

          **หากเราจะคิดว่า ใช่ซิ ความล้าหลังในสมัยอดีตที่ยังไม่มีเทคโนโลยีอย่างสังคมปัจจุบันจะเป็นเหตุ หนึ่งของการที่เรานั้นจะคิดว่า ในสมัยนั้น ก็ต้องใช้ คำกล่าว ถ้อยคำแบบนั้นอยู่แล้วก็ในเมื่อเทคโนโลยีในการผลิตไอคอน หรือสัญลักษณ์ต่างๆเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ง่ายๆนั้น ก็คงจะมีขึ้นไม่ได้เป็นแน่ แต่พึงทราบเถิดนะว่า ปัจจัยความเอื้ออำนวยในสมัยอดีต ต่อการที่จะคิดค้น ไอคอนของการกล่าวการให้สลามหรือการรับสลามนั้น ก็คงมีไม่น้อยกว่าในสมัยปัจจุบันเหมือนกัน เพราะใช่ว่าจะไม่มีอะไรเลยที่จะเป็นสิ่งที่สามารถจดบันทึกและการสรรหาคำพูด มากล่าวเช่นเดียวกัน.....ว่าไหม....

วัลลอฮฮุอะลัม


วัสลามุอาลัยกุม วะเราะฮฺมาตุลลอฮิ วะบะเราะฮฺกาตุฮฺ
-----------------------------------------------------------------------------------------------

 ท้ายด้วย วัสสลามุอาลัยกุม หรือเพียงแค่ "วัสสลาม"

             ถาม - อนุญาตให้ลงท้ายจดหมายด้วย "วัสลาม"แทนที่จะกล่าวว่า “วัสสลามุอาลัยกุม” หรือไม่?
--------------------------------------------------------

การสรรเสริญทั้งมวลเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ

             ตอบ - การลงท้ายจดหมายด้วยคำว่า “วัสลาม” ถือว่ากระทำได้ และไม่จำเป็นต้องเขียนให้จบประโยค (เช่น วัสลามุอะลัยกุม) เพราะการเขียนย่อว่า “วัสลาม” นั้น เจตนาของผู้เขียนก็คือ “วัสลามุอะลัยกุม” แต่ถ้าผู้ส่งจะลงท้ายด้วย “วัสลามุอะลัยกะ” หรือ “วัสลามุอะลัยกุม” ก็เป็นการดีกว่า ท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ ได้เขียนคำลงท้ายจดหมายที่ท่านส่งไปยังท่านชุร็อยหฺ ว่า “วัสลามุอะลัยกะ”  [บันทึกโดย อันนะสาอีย์ 5304] เช่นเดียวกับท่านอุมัรฺ บิน อับดิลอะซีซ เราะหิมะฮุลลอฮฺ ที่ลงท้ายจดหมายของท่านไปหาคนหนึ่งจากคนงานของท่านด้วยประโยคดังกล่าวเช่น เดียวกัน [ดู อัลมุวัฏเฏาะอ์ บท การญิฮาด]

Credit : http://www.muslimcool.com/forum/index.php?topic=229.0


เพียงเพราะว่า "เราคือมุสลิมหรือ" ?






 
 








ความรู้สึก “หิวจนตาย” เป็นอย่างไร

“เรื่องจริงเตือนใจ สำหรับบรรดามุสลิมผู้ถือศีลอด” 

“ชาวบ้านอัฟกันอดยากจนต้องกินหญ้า” 

ชายอัฟกานิสถานต้องประทังชี
วิตด้วยการกินขนมปังที่ทำจากหญ้าบดละเอียด

“ชาวอัฟกันจำนวนหมื่นคนต้องประสบกับความอดยากและประทังชีวิตด้วยการกินหญ้า” เจ้าหน้าที่ที่ให้ความช่วยเหลือกล่าว

“ข้าวต้มผสมหญ้า” 

“บอนนาแวช” (Bonavash) หมู่บ้านหนึ่งในเขตอับดุลลอฮฺ เจน ของอัฟกานิสถาน อาหารที่พอจะหาได้ในหมู่บ้านคือ ขนมปังที่ทำจากหญ้าบดและข้าวบาเลย์หรือข้าวต้มผสมหญ้า

เกือบทุกคนในหมู่บ้านดังกล่าวต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการท้องร่วงหรือไออย่างหนัก ตามที่นักข่าวที่เข้าไปเยี่ยมหมู่บ้านนี้ได้รายงาน

สตรีคนหนึ่งออกพร้อมกับลูกของเธอที่มีอาการท้องป่องเนื่องจากความอดอยากในหมู่บ้านบอนนาแวซซึ่งอยู่ทางเหนือของอัฟกานิสถาน

ความต้องการอาหารอย่างเร่งด่วนถูกส่งมาอย่างล่าช้า 

“เรากำลังรอความตาย หากอาหารยังมาไม่ถึง หากสถานการณ์ไม่เปลี่ยนไป เราก็คงจะต้องกินสิ่งนี้ (หญ้า) จนกระทั่งเราตายไป” ฆอลัม ลอซา ชายวัย 42 ปีกล่าว เขามีอาการไออย่างหนัก และอาการปวดท้องพร้อมทั้งมีเลือดออกในลำไส้ (Bleeding bowels)

“ชาวชาดกินใบหญ้า และอาหารสัตว์ประทังชีวิต” 
หมายเหตุ “ประเทศชาด” เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในแอฟริกากลาง มีอาณาเขตทางเหนือจดประเทศลิเบีย ทางตะวันออกจดประเทศซูดาน ทางใต้จดสาธารณรัฐแอฟริกากลาง ทางตะวันตกเฉียงใต้จดประเทศแคเมอรูนและประเทศไนจีเรีย และทางตะวันตกจดประเทศไนเจอร์ เนื่องจากมีระยะไกลจากทะเลและมีภูมิอากาศเป็นแบบทะเลทรายเป็นส่วนใหญ่ ประเทศจึงได้ชื่อว่าเป็น "หัวใจตายของแอฟริกา" (อ้างอิง http://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศชาด

เนคาเรมบายา คัมนโด (Nekarambaya Kamndo) ใช้มือของเขาวัดปริมาณน้ำฝน และอธิบายถึงปริมาณน้ำฝนที่ควรจะตกลงมาในแต่ละปีโดยปกต

“มันควรจะมีปริมาณ 10 มิลลิเมตร ในนั้น” กล่าวโดยหัวหน้าวิศวกรของเมืองอัม ดัม ในเขตทรายผุพังทางตะวันออกของประเทศชาด “แต่ปีที่แล้วมีปริมาณน้ำฝนเพียงแค่ 369 มิลลิเมตร จากฝนที่ตกลงมาใน 17 วัน”

ในปี 2000 มีปริมาณน้ำฝน 596 มิลลิเมตร จากฝนที่ตกลงมา 40 วัน “ผลที่ได้รับคือความเสียหายอย่างรุนแรง คนจำนวน 2 ล้านคนต้องทนอยู่อย่างหิวโหยในช่วงเดือนมิถุนายน”OXFAM รายงานจากคำกล่าวของผู้เชียวชาญ ประเทศชาดต้องประสบกับภัยแล้งที่เลวร้ายที่สุดใน 50 ปี

โดยปกติแล้วพื้นในแต่ละ 1 เฮกตาร์ (พื้นที่ 10000 ตารางเมตร) ในเมืองอัม ดัม จะให้จำนวนผลผลิตข้าวเดือยประมาณ 600 กิโลกรัม และข้าวฟ่างประมาณ 500 กิโลกรัมในช่วงเวลาการเก็บเกี่ยวในเดือนกันยายน “แต่ปีนี้ ไม่มีผลผลิตออกมาเลย ไม่มีเลยแม้แต่นิด” คัมนโด กล่าว “ทุกๆ อย่างได้รับความเสียหาย” คนต่างเริ่มกินใบไม้และสิ่งที่อยู่รอบๆ หมู่บ้าน รวมไปถึงอาหารสัตว์เพื่อประทังชีวิต

ชาวกาซานประทังชีวิตด้วยการกินหญ้าและยาแก้ปวด

หนังสือพิมพ์ “The Sunday Time” ของลอนดอน รายงานว่า หลังจากมีการสงบศึกชั่วคราวระหว่างอิสลาเอลและฮามาส สถานการณ์ในเมืองกาซากลับแย่ลง พวกเขารายงานว่า บางครอบครัวยากจนมากและพวกเขาต้องประทังชีวิตด้วยการกินหญ้า

“เราได้กินอาหารเพียง 1 มื้อ วันนี้” อบู อัมรออฺ วัย 43 ปี กล่าว พร้อมทั้งนำใบไม้ของพืชที่ปลูกตามท้องถนนของกาซาขึ้นมาให้ดู และกล่าวว่า “ทุกวัน ฉันตื่นขึ้นมา และมองหาเศษไม้ หรือพลาสติกเพื่อนำมาเผาเป็นเชื้อเพลิง และฉันก็ออกขอทาน แต่เวลาที่ฉันไม่ได้กลับมาอะไรเลย พวกเราก็กินหญ้าพวกนี้กัน”

อบู อัมรออฺและและสามีที่ตกงานของเธอมีลูกสาว 7 คนและลูกชายอีก 1 คน บ้านช่องลมเล็กๆ ของพวกเขาไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเหลืออยู่ เพราะพวกเขาเพิ่งจะนำตู้ใบสุดท้ายมาเผาเพื่อผิงไฟคลายหนาว

“ฉันจำไม่ได้ว่าผลไม้เป็นยังไง” รอบับวัย 12 ปี กล่าว เธอจะออกจากบ้านไปกับแม่ในตอนเช้าตรู่เพื่อคุ้ยหาอาหารตามกองขยะ เธอแต่งกายด้วยเสื้อวอร์มและกางเกงยีนที่มีรูขาด และเดินเท้าเปล่า 


สำนักข่าว AP รายงานว่า จำนวนชาวกาซาที่ต้องอาศัยยาแก้ปวดเพื่อหนีปัญหาของพวกเขากำลังเพิ่มขึ้น อย่างน่าเศร้าใจ

“หลังจากการปฏิวัติ ผมรู้สึกกลัวกับสิ่งที่เราต้องเผชิญ” เขากล่าว “มันไม่เหลือความหวัง และคุณก็ต้องหาอะไรเพื่อดับความกลัวของคุณ ผมลองมันครั้งหนึ่ง และมันก็ได้ผล และตอนนี้ผมก็ยังกินมันอยู่” 

“ชาวไฮติประทังชีวิตด้วยการกินดิน” 

มันเป็นช่วงเวลาอาหารกลางวัน ในย่านแออัดที่แย่ที่สุดแห่งหนึ่งในเฮติ และชาร์ลีน ดูมัส กำลังกินดินโคลน

ด้วยเพราะค่าอาหารที่สูงขึ้น ชาวไฮติที่ยากจนอย่างมากจึงไม่สามารถที่จะซื้อแม้แต่อาหารสักหนึ่งจานได้ บางคนก็ต้องหาวิธีใดวิธีหนึ่งเพื่อเติมเต็มท้องที่ว่างเปล่าของพวกเขา

ชาร์ลีน วัย 16 ปี พร้อมกับลูกชายวัย 1 เดือน ก็ต้องเผชิญความอดอยากดั้งเดิมที่ชาวเฮติต่างต้องประสบ

คุกกี้ที่ทำจากดินแห้งสีเหลืองจากที่ราบสูงส่วนกลางของประเทศ

“โคลน” ถือเป็นสิ่งที่มีค่ามากสำหรับสตรีมีครรภ์และเด็กๆ ที่นั่น เพราะมีสารลดกรดและเป็นแหล่งแคลเซียม แต่ในสถานที่เช่น Cité Soleil ย่านแออัดแถวชายฝั่งที่ชาร์ลีนอาศัยอยู่ในบ้านที่มีเพียงสองห้อง และต้องแบ่งกันอยู่ พร้อมกับลูกของเธอ พี่น้องของเธอ 5 คน และ ผู้ปกครองตกงาน 2 คู่ คุกกี้ที่ทำจากดิน เกลือ และผักกลายเป็นอาหารประจำวันของพวกเขา

“ตั้งแต่แม่ฉันไม่ได้ทำอาหาร ฉันก็ต้องกินดินพวกนี้สามมื้อต่อวัน” ชาร์ลีนกล่าว ขณะที่ลูกของเธอชื่อ “วู้ดสัน” กำลัง นอนอยู่ระหว่างตักของเธอ ร่างกายของเขาดูผอมกว่าเด็กแรกเกิดโดยทั่วไป (ที่มีน้ำหนัก 3 ปอนด์ 3 ออนซ์ หรือ 2.7 กิโลกรัม 85 กรัม)

ลองถามตัวเราเองดูสิ เมื่อไหร่ที่เป็นครั้งสุดท้ายที่เรากล่าวขอบคุณผู้ทรงสร้าง ผู้ประทานสิ่งต่างๆ ผู้ทรงช่วยเหลือเรา ประทานแก่ซึ่งอาหารรสชาติดีๆ และสิ่งต่างๆ ที่เพียบพร้อม (สมุนไพรเครื่องเทศและส่วนประกอบอาหารมากมายเพื่อเพิ่มรสชาติ) เพื่อที่เราจะเติมเต็มมันลงใส่ท้องของเราทุกคืนโดยปราศจากความละอายใจ ??

หะดีษ เก๊ ผลบุญตะรอวีหฺทั้ง 30 วัน จริงหรือ?


หะดีษ เก๊ ระบาดตามมัสญิด    โดย อ.มุรีด ทิมะเสน
หะดีษระบุถึงผลบุญการนมาซตะรอวีหฺทั้ง 30 วัน ที่ระบาดตามมัสญิดนั้น เป็นหะดีษเมาฎูอฺ (หะดีษเก๊ หมายถึงใครไม่รู้เป็นคนพูดแล้วอ้างว่าท่านนบีเป็นคนพูด) โดยไม่มีทั้งสายรายงาน, นักรายงานหะดีษ และผู้บันทึกหะดีษ  ดังนั้นทางเว็บไซต์ mureed.com ขอเตือนว่าอย่านำเอกสารดังกล่าวแจกจ่าย หรือนำไปติดตามมัสญิด หรือองค์กรโดยเด็ดขาด  แต่ถ้าเราได้รับเอกสารนั้นมาก็ให้ทำลายทิ้งเสีย เพราะการเผยแพร่สิ่งที่ไม่ใช่อิสลามแล้วอ้างว่าเป็นอิสลามมีความผิดมหันต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอ้างคำพูดหนึ่ง (ที่ไม่ใช่คำพูดของท่านนบี) แล้วอ้างว่านั่นเป็นคำพูดของท่านนบีมุหัมมัด เขาผู้นั้นถึงขั้นถูกลงโทษในไฟนรกเลยทีเดียว ดั่งที่ท่านนบีมุหัมมัดกล่าวไว้ว่า  
من كذب علي فليتبوأ مقعده  من النار
ความว่า บุคคลใดที่โกหกต่อฉัน (หมายถึงอ้างว่าเป็นคำพูดของท่านนบีมุหัมมัดทั้งๆ ที่ไม่ใช่) เช่นนั้น เขาจงเตรียมที่นั่งของเขาในไฟนรกได้เลย (บันทึกโดยบุคอรีย์)
          ส่วนหะดีษ เก๊ ที่กล่าวถึงความประเสริฐของการนมาซตะรอวีหฺมีดังนี้

อ้างจากหนังสือดุรเราะตุนนาศิหีน  อ้างถึงรายงานจากท่านอลี เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ  ความว่า 
عن على بن ابي طالب رضي الله عنه انه قال ( سئل النبي عليه الصلاة والسلام عن فضائل التروايح في شهر رمضان فقال: يخرج المؤمن من ذبنه في اول ليلة كيوم ولدته امه.
في الليلة الثانية : يغفر له ولا بويه وان كانا مؤمنين
 
في الليلة الثالثة : ينادي ملك من تحت العرش استاتني العمل غفر الله ما تقدم من ذبنك
في الليلة الرابعة : له من الاجر قراءة التوراة والانجيل والفرقان
 
في الليلةالخامسة: اعطاه الله تعالى مثل من صلى في المسجد الحرام ومسجد المدينة ومسجد الاقصى
 
في الليلة السادسة : اعطاه الله تعالى ثواب من طاف في البيت المعمور ويستغفر له كل حجر
 
في الليلة السابعة : فكأنما ادرك موسى عليه السلام ونصره على فرعون وهامان
 
في الليلة الثامنة: اعطاه الله تعالى ما اعطى ابراهيم عليه السلام
في الليلة التاسعة: فكأنما عبد الله تعالى عبادة النبي عليه السلام
في الليلة العاشرة : ر**ه الله تعالى خيرالدنيا والاخرة
 
في الليلة الحادية عشر: يخرج منالدنيا كيوم ولد من بطن امه
 
في الليلة الثانية عشر: جاء يوم القيامة ووجهه كالقمر ليلة البدر
في الليلة الثالثة عشر: جاء يوم القيامة آمنا من كل سوء
 
في الليلة الرابعةعشر: جاءت الملائكة ليشهدون له انه قد صلى التراويح فلايحاسبه الله يوم القيامة
 
وفي الليلة الخامسة عشر: تصلي عليه الملائكة وحملة العرش والكرسي
 
وفي الليلة السادسة عشر: كتب له الله براءة النجاة من النار والدخول في الجنة
 
وفي الليلة السابعة عشر: يعطي مثل ثواب الانبياء
 
وفي الليلة الثامنة عشر: نادى ملك يا عبد الله ان الله رضى عنك وعن والديك
 
وفي الليلة التاسعةعشر: يرفع الله درجاته
 
وفي الليلة العشرين: يعطى ثواب الشهداء والصالحين
 
وفي اللبلة الحادية والعشرين: بنى له بيتا فيالج نة من النور
وفي الليلة الثانة والعشرين : جاء يوم القيامة آمنا من كل غم و هم
وفي الليلة الثالثة والعشرين: بنى الله له مدينة في الجنة
وفي الليلة الرابعة والعشرين : قال له اربع وعشرون دعوه مستجابة
وفي الليلة الخامسة والعشرين؟ يرفع الله له عذاب القبر
وفي الليلة السادسة والعشرين: يرفع الله له ثواب اربعين عاما
وفي الليلة السابعة والعشرين: جاء يوم القيامة على الصراط المستقيم كالبرق الخاطف
وفي الليلة الثامنة والعشرين: يرفع الله لهالف درجة في الجنة
وفي الليلة التاسعة والعشرين : اعطاه الله ثوابه الف حجة مقبولة
وفي الليلة الثلاثين: يقول الله يا عبادي كُل من ثمار الجنة وغسل من ماء السلسبيل واشرب من ماء الكوثر انا ربك وانت عبدي .

คำแปลของหะดีษเก๊
 คืนที่1   ผู้นมาซจะไม่มีบาปเหมือนกับตอนที่เขาถูกคลอดจากท้องมารดาใหม่ๆ
 คืนที่ 2  อัลลอฮฺทรงอภัยโทษแก่เขาและบิดาของเขาหากเขาทั้งสองเป็นผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ
 คืนที่ 3  มลาอิกะฮฺจะประกาศใต้อะรัชว่าเจ้าจงเริ่มทำความดีเถิดเพราะความชั่วทั้งหลายถูกลบล้างออกไปหมดแล้วเจ้าจงใช้ชีวิตให้สวยงามต่อไป
 คืนที่4   เขาจะได้รับผลบุญเท่ากับคนที่อ่านคัมภีร์เตารอต อินญีล ซะบูรฺ และอัลกุรฺอาน

คืนที่5   ได้รับผลบุญเท่ากับผู้ที่ได้ไปนมาซทีมัสญิดหะรอม มัสยิดนะบะวีย์ มัสญิดอัลอักศอ
 คืนที่ 6  ได้รับผลบุญเท่ากับผู้ที่ไปทำเฏาะวาฟ ณ บัลตุลมะอฺมูรฺ ( กิบละฮฺของมลาอิกะฮฺตรงกับบัยตุลลอฮฺ ) หินและของมีค่าทั้งหมดในโลกนี้จะขออภัยให้แก่เขา
 คืนที่ 7  ได้ผลบุญเหมือนกับเขาได้เกิดในสมัยที่ท่านนาบีมูสาสงครามกับฟิรอูนและฮามาน
 คืนที่ 8  จะได้รับผลบุญเหมือนกับอัลลอฮฺได้ประทานแก่นบีอิบรอฮีม (อ.)
 คืนที่ 9  บุญที่ได้รับจะเท่ากับบุญการอิบาดะฮฺของนบีมุหัมมัด (ซ.ล.)
 คืนที่ 10 อัลลอฮฺจะทรงบันดาลให้พบแต่ความดีงามทั้งโลกนี้และโลกหน้า  
 คืนที่ 11 หากพวกเขาสิ้นชีวิตในคืนนี้ เขาก็เหมือนกับทากรที่ถูกคลอดใหม่ๆ
 คืนที่ 12 เขาจะเกิดมาในวันกิยามะฮฺด้วยใบหน้าที่ดุจดั่งจันทร์เพ็ญ
 คืนที่ 13 เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในวันกิยามะฮฺ
 คืนที่ 14 ในวันกิยามะฮฺ, มลาอิกะฮฺจะเป็นพยานยืนเคียงข้างเขา

คืนที่ 15 มลาอิกะฮฺตลอดจนมะลักที่แบกอะรัชต่างๆจะอวยพรให้แก่เขา


คืนที่ 16 เขาจะถูกบันทึกว่าเป็นผู้ปลอดภัยจากนรก
คืนที่ 17 เขาจะได้บุญเท่ากับผลบุญบรรดานบีรวมกัน 
คืนที่ 18 มลาอิกะฮฺจะประกาศชื่อของเขาว่า แน่แท้พระองค์อัลลอฮฺทรงอภัยในตัวเขาและบิดามารดาของเขา

คืนที่ 19 อัลลอฮฺจะยกฐานะอันสูงส่งในชั้นฟิรเดาส์ 
คืนที่ 20 เขาจะได้รับผลบุญเท่ากับผู้ที่ตายชะฮีด

คืนที่ 21 อัลลอฮฺจะสร้างบ้านหลังหนึ่งที่เต็มไปด้วยรัศมีให้แก่เขา 
คืนที่ 22 เขาจะไปปรากฏตัวในวันกิยามะฮฺโดยปราศจากความทุกข์

คืนที่ 23 อัลลอฮฺได้เตรียมเมืองไว้สำหรับให้เขาครอบครอง

คืนที่ 24 อัลลอฮฺเปิดโอกาสรับดุอาอ์ยี่สิบสี่ประการ

คืนที่ 25 อัลลอฮฺทรงยกโทษในกุบูรฺ (สุสาน)ให้แก่เขา 
คืนที่ 26 อัลลอฮฺทรงยกผลบุญเท่ากับทำอิบาดะฮฺสี่สิบปี 
คืนที่ 27 เขาจะเดินผ่านสะพานศิรอฏ็อลมุสตะกีมดุจฟ้าแลบ

คืนที่ 28 อัลลอฮฺทรงยกฐานะให้เขาหนึ่งพันชั้น

คืนที่ 29 อัลลอฮฺทรงประทานผลบุญให้เท่ากับประกอบพิธีหัจญ์หนึ่งพันครั้ง

คืนที่ 30 อัลลอฮฺทรงกล่าวว่าโอ้บ่าวของฉันจงมารับประทานผลไม้ในสวรรค์และจงอาบน้ำสัลสะบีล (ซึ่งเป็นน้ำทิพย์ในสวรรค์) จงดื่มน้ำอัลเกาซัรซึ่งเราเป็นเจ้าของ เจ้าเป็นบ่าวของเรา เจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเสร็จสมบูรณ์แล้ว



อัลฮัมดูลิลลาฮ 

หากการเผยแพร่ครั้งนี้ มีเนื้อความที่ไม่ถูกต้อง ข้าพเจ้าขอคำชี้แนะ (หลักฐาน) เพื่อที่จะได้นำข้อมูลนี้ไปสอบถามกับผู้รู้ถึงความเป็นมาของหะดีษ สายรายงานว่ามีที่มา ที่เป็นจริงหรือไม่

ความรักที่หะล้าล


เมื่อหัวใจตกหลุมพลาง
หาก ความรักได้ที่ได้ครอบครองพื้นที่ของหัวใจเราเป็นความรักที่หะล้าลหรือความ รักทั่วไป ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่เนื่องจากเรามักปล่อยให้ความรักที่หะรอมเข้ามารุกล้ำ และทำให้ความรักต่ออัลลอฮ(ซ.บ.)ของเราหลายๆคนเสียหาย ส่วนมากของรูปแบบความรักนั้น คือ ความรักระหว่างชาย-หญิง

ในหลัก การอิสลาม ความรักระหว่างชาย-หญิงมีรูปแบบเดียวเท่านั้น คือความรักระหว่างสามี-ภรรยา และนี่คือที่มาของคำพูดที่เราได้ยินกันบ่อยครั้งว่าไม่มีระบบแฟนในอิสลามขอบเขตความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงในอิสลามได้ถูกวางอย่างชัดเจนและรัดกุมที่ สุด ผู้หญิงและผู้ชายที่ไม่ใช่มะหรอมกันนั้น จะถูกปิดโอกาสทั้งหมดที่จะนำพาความสัมพันธ์ของเขาของเขาและเธอไปสู่ความ หายนะอย่างไรก็ตาม ความรู้สึกชื่นชมในตัวเพศตรงข้าม นั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติความเป็นมนุษย์ การเกิดขึ้นของมันนั้นไม่ใช่ความผิดแต่การปล่อยให้มันถูกแสดงออกโดยปราศจาก ความควบคุมนั้นเป็นความอิสลามไม่มีการนัดพบกัน หรือแม้แต่การพูดคุยกันทั้งต่อหน้าหรือทางโทรศัพท์ เว้นแต่จะมีมะหรอมของฝ่ายหญิงอยู่ด้วย และหากเราถูกใจคนที่ดีจริงๆ ก็ให้ยกระดับความสัมพันธ์นั้นจากหะรอมเป็นหะล้าลด้วยการแต่งงาน เพราะแท้จริงศาสนาส่งเสริมเรื่องการแต่งงาน ดังที่ท่านรสูล(ซ.ล.)กล่าวว่า 
“โอ้คนหนุ่มสาวทั้งหลาย ใครในหมู่พวกท่านมีความสามารถที่จะแต่งงาน ก็จงแต่งงานเถิด เพราะมันจะทำให้ลดสายตาลงต่ำและปกป้องอวัยวะเพศได้ดียิ่ง และผู้ใดไม่มีความสามารถก็จงถือศีลอดเพราะแท้จริงการถือศีลอดนั้นจะทำให้ลด อารมณ์และตัณหาลงได้” (บันทึกโดย อัลบุคอรียและมุสลิม)

อย่างไรก็ ตาม อิสลามไม่ได้ตัดขาดการปฏิสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามในเรื่องทีจำเป็น เช่น การร่วมงาน ทำธุรกิจ ติดต่อซื่อขาย แต่ต้องไม่ใช่ความจำเป็นที่สร้างขึ้นมาจากนัฟซู ไม่ใช่การคบกันฉันท์เพื่อนเพราะอาจนำอันตรายตามมาอย่างงไม่ทันตั้งตัว การติดต่อกันนั้นต้องอยู่ภายใต้ความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งไม่มีใครสามารถช่วยตรวจสอบได้ เพราะเป็นเรื่องระหว่างเขากับอัลลอฮ(ซบ.) ดังนั้นผู้ศรัทราจึงต้องมั่นตรวจสอบเจตนาและการงานของเขาให้มีความบริสุทธิ์ เพื่อพระผู้อภิบาลของเขาเท่านั้นเอง

เมื่อเราสนใจใคร ก็ให้พ่อแม่สืบถามเรื่องราวของเขาจากคนใกล้ชิดซึ่งเป็นหน้าที่ของคนใกล้ชิด ผู้ถูกสอบถามที่จะต้องให้ข้อมูลที่เป็นความจริงทั้งข้อดีและข้อบกพร่อง หลังจากได้รับข้อมูล พิจารณาอย่างรอบคอบ และขอคำปรึกษาจากอัลลอฮ(ซบ.)ผ่านการละหมาดอิสติคอเราะฮแล้ว หากมั่นใจก็ให้ฝ่ายชายไปสู่ขอต่อผู้ปกครองของฝ่ายหญิง และแม้ผู้ปกครองและตัวฝ่ายหญิงเองจะยินยอมพร้อมใจแล้ว บุคคลทั้งสองก็ยังไม่เป็นหะล้าลแก่กันจนกว่าจะผ่านพิธีนิกาหตามหลักการอิส ลาม

การแต่งงานเป็นสิ่งที่อิสลามกำหนดเพื่อให้เกิดความสงบสุขทั้ง แก่ตนเอง และเกิดความสงบเรียบร้อยต่อสังคม ป้องกันปัญหาความวุ่นวายนานาชนิด ถือเป็นการสร้างสถาบันครอบครัวอย่างมีเป้าหมายอีกทั้งยังเป็นการระงับอารมณ์ ใคร่ใฝ่ต่ำที่นำไปสู่การกระทำความผิดทั้งหลายเพราะอิสลามถือว่าการทำซินา เป็นบาปใหญ่ แต่การร่วมประเวณีระหว่างสามีภรรยาเป็นการบริจาคที่ได้รับผลบุญ เนื่องจากเป็นการใช้อารมณ์ใคร่ในหนทางที่ถูกต้อง การแต่งงานจึงเป็นการรับผิดชอบต่อครอบครัวและบุคคลรอบข้าง โดยมิได้ขัดกับธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องมีการสืบพันธุ์ตามที่อัลลอฮทรงกำหนด ไว้ และนำมาซึ่งการสร้างประชาชาติอิสลามสืบต่อไป

นอกจากระบบแฟน ที่เป็นปัญหาต่อความรักในอิสลามแล้ว ความรักอีกรูปแบบหนึ่งอีกรูปแบบหนึ่งที่เกิดขึ้นในสังคมของเราและแพร่หลาย ออกไปจนหลายคนมองว่ามันไม่ใช่ปัญหาอีกแล้ว คือ ความรักที่เกิดขึ้นระหว่างเพศเดียว หรือเรียกง่ายๆว่า รักร่วมเพศ” (homosexaul) ไม่ว่าสังคมทั่วไปจะมีมุมมองดูม (โซดอม)ได้มีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายด้วยกันอย่างแพร่หลายและเปิดเผย ไม่ว่าท่านนบีลูฏ อะลัยฮิสสลาม จะเรียกร้องพวกเขาให้ละทิ้งพฤติกรรมดังกล่าวและตักเตือนถึงการลงโทษของอัลลอฮ(ซบ.)อย่างไร พวกเขาก็ปฎิเสธและยังขู่จะขับไล่ท่านออกนอกเมืองอีกด้วย

“หมู่ ชนของลูฏได้ปฎิเสธบรรดาร่อซูล ขณะที่พี่น้องคนหนึ่งของพวกเขาคือลูฏ ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า 
โอ้พวกท่านไม่ยำเกรงบ้างหรือแท้จริงฉัยคือร่อซูลผู้ซื่อสัตย์สำหรับพวกท่าน ดังนั้นพวกท่านจงยำเกรงอัลลอฮและเชื่อฟังฉัน และฉันมิได้ขอค่าตอบแทนในการนี้จากพวกท่าน ค่าตอบแทนของฉันมิได้มาจากผู้ใด นอกจากพระเจ้าแห่งสากลโลก พวกท่านเข้าหาผู้ชายในหมู่ผู้คนทั้งหลายกระนั้นหรือ และพวกท่านปล่อยทิ้งสิ่งที่พระผู้อภิบาลของพวกท่านทรงบังเกิดมาสำหรับพวก ท่าน คือภรรยาของพวกท่าน แน่นอนพวกท่านเป็นหมู่ชนผู้ฝ่าฝืน พวกเขากล่าวว่าโอ้ลูฏเอ๋ย หากท่านไม่หยุดนิ่ง แน่นอนท่านเป็นผู้หนึ่งที่จะถูกขับไล่ให้ออกไป” (ซูเราะฮที่26 อัชชุอะรออ. อายะฮที่ 160-167)

บทสรุปของชีวิตพวกเขา คือการที่อัลลอฮ(ซบ.)ทรงให้เมืองทั้งเมืองถูกยกขึ้นและคว่ำลงมาอย่างแรงใน คราวเดียวกัน หลังจากนั้นพายุหินก็ตกลงมาบนเมืองทุกคนในเมืองนั้นถูกทำลาย รวมทั้งภรรยาของนบีลูฏอะลัยฮิสสลาม ผู้ทรยศด้วย ส่วนผู้ที่รอดปลอดภัยจากเหตุการณ์นี้มีเพียงนบีลูฏ อะลัยฮิสสลาม และครอบครัวของท่านเท่านั้น